สมุนไพร ไทยใช้รักษาโรคที่เคยพบในประเทศ

เมืองไทยมีของดีอยู่มากมาย และหนึ่งในจำนวนนั้นก็ได้แก่ ยาสมุนไพรมากมายที่คนโบราณของเราใช้รักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ แต่ปัจจุบันเนื่องมาจากอารยะธรรมและอิทธิพลของตะวันตกแผ่เข้ามาอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งมีความรู้สึกว่าความเป็นไทยเริ่มจะหมดไป จึงเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงเป็นอย่างมาก

สมุนไพรในประเทศไทยนั้นมีมากมาย และปัจจุบันก็ได้มีการตื่นตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก แม้กระทั่งโครงการใน พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้โปรด ให้รวมไว้เข้ากับโครงการ

สมุนไพรบางอย่างนั้นบางทีเราเห็นเป็นเพียงท่อนไม้ธรรมดา แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านก็ได้ทำการทดลองและพิสูจน์และปรากฏว่า สามารถรักษาโรคได้มากมายอย่างน่าพิศวง ขอมูลนี้เป็นการรวบรวมสมุนไพรที่สามารถรักษาโรคต่าง ๆ ได้ดีของสำนักวัดถ้ำอุโมงค์ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการค้นคว้าสมุนไพรที่ใหญ่แห่งหนึ่งของภาคเหนือมาเสนอแก่ท่านหวังว่าท่านคงจะได้รับประ โยชน์จากมันพอสมควร

การรู้จักป้องกันรักษาโรคที่เริ่มเป็นนั้น มันรักษาง่ายไม่ต้องเสียทรัพย์และเสียเวลาทนทุกข์ทรมาน และเสียเวลาทำมาหากิน เปรียบเหมือนไฟกำลังจะไหม้บ้าน ถ้าเรารู้เท่าทันน้ำขันเดียว หรือผ้าขี้ริ้วผืนเดียวเราก็ดับไฟได้ แต่ถ้าเรารู้เท่าไม่ถึงกาล ปล่อยให้ไฟลุกลามไปมากแล้ว ถึงแม้น้ำมากมายก็เป็นการยากที่จะดับไฟได้ ฉันใดก็ฉันนั้น เพราะฉะนั้นการรู้จักดูแลสุขภาพ และรู้จักใช้ยาสมุนไพรที่ใกล้มือเราปฐมพยาบาลด้วยวิธีง่าย ๆ ประหยัด และทั่วถึง จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นในชีวิตประจำวันของเราทุกคน ทุกเพศทุกวัย ชีวิตจึงจะมีความสุขความเจริญก้าวหน้า เมื่อเรามีสุขภาพดี ร่างกายสมบรูณ์ จิตใจ ย่อมมีความสดชื่นแจ่มใส ไม่ว่าจะเป็นทางการงาน ทางวาจา และทางกิริยาต่าง ๆ ที่แสดงออกมา ย่อมมีความสุภาพอ่อนโยนนี้ เป็นมูลฐานช่วยสร้างเสริมบุคลิกและสง่าราศีให้แก่ตนเอง เมื่อเราไม่มีโรคภัยเบียดเบียน ร่างกายย่อมสมบูรณ์ จิตใจแน่วแน่มีอารมณ์ดี มีภูมต้านทานดีต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคในชีวิตประจำวัน แม้ว่าทางสังคมมีความวุ่นวาย มีคนมารบกวนก้าวร้าวเราก็มีอารมณ์ดีอภัยให้กันได้ ลักษณะอย่างนี้เป็นบรรทัดฐานความเป็นอยู่ในการดำรงชีวิตประจำวัน เป็นมูลฐานป้องกันโรคพยาธิ ตัดต้นตอเหตุร้ายนานาประการไม่ให้เกิดขึ้น ขอให้ท่านผู้อ่านจงพิจารณาแล้วปฏิบัติอยู่ในทำนองครองธรรมชีวิจึงจะมีความสงบสุข ต่อไปจะได้กล่าวถึงตำรายาสมุนไพรให้ท่านที่สนใจได้ทราบและนำไปให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น

วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

น้ำร้อนลวก ไฟลวก

1. ใช้ไข่ไก่ตีผสมกับน้ำมันมะพร้าวทา

2. ใช้น้ำมันงาผสมขี้แพะทา

3. ใช้ดินปลวกเผาไฟผสมน้ำมันมะพร้าวทา

4. ใช้ใบบัวบกตำผสมน้ำมันปูทา

5. ใช้ใบฟ้าทะลายโจรบดเป็นผงผสมน้ำมันพืชทา

6. ใช้ใบมะขามอ่อนตำผสมกับตะไคร้น้ำทา

7. ใช้น้ำปูนใสผสมน้ำมันมะพร้าวทา

8. ใช้ว่านหางจระเข้ขยี้กับน้ำเอากากพอก

9. ใช้ยาสีฟันชนิดครีมทา

ยาแก้พิษบาดทะยัก

ใช้หนังควายกว้าง 12 คูณ 13 นิ้ว ตากแห้งเผาไฟเป็นขี้เถ้าบดให้ละเอียดเก็บใส่ขวดไว้ เวลาต้องการใช้ 1 ช้อนคาวผสมเหล้าขาว 1 ก๊งคนให้เข้ากันให้ผู้ป่วยกิน เมื่อยาลงถึงท้องผู้ป่วยสักพักมือเท้าจะค่อย ๆ อ่อนลง และจะถ่ายพิษบาดทะยักออกเป็นสีดำ รอสัก 30 นาที ให้ผู้ป่วยกินยาอีกครั้งแล้วรอเวลาตามกำหนด ถ้าผู้ป่วยหายแล้วให้หยุดยา ถ้ายังไม่หายก็ให้ยาเป็นระยะจนกว่าผู้ป่วยจะหายเป็นปกติ ยาตำรับนี้ได้ช่วยให้คนป่วยรอดจากความตายมาแล้วหลายคน

ถูหนาม เข็ม เบ็ด เสี้ยม ลูกปืน ฝังเข้าไปในเนื้อไม่ต้องผ่าออกให้เอาใบพุงดอ 1 กำมือ งาดำ 1 กำมือ ตำรวมกันแล้วพอกที่แผล ถูกเสี้ยน หนาม ตำฝังเข้าไปในเนื้อ มียาแก้ดังนี้

1. ให้เอาหัวหอมแดง 5 หัว ขี้ใต้ไม่จุดไฟ 1 หัว แม่มือเกลือทะเล 3 เม็ด ตำรวมกันพอกที่แผล จะดูดเอาเสี้ยนหนามออกภายใน 10 นาที

2. ใช้เมล็ดฟักทองตำให้แหลกแล้วขยำกับน้ำปิดแผลถูกเสี้ยนหนามตะปู “ตำ ทิ่ม ยอก” จะดูดพิษให้หายจากเจ็บปวดได้โดยเร็ว ส่วนยางของฟักทองก็ได้ดีแก้ผื่นคันและงูสวัด

3. ตะปูตำใช้หัวขิงตำผสมสุราพอกแผล ลมพิษใช้ใบพลูขยี้พอช้ำแล้วเอาผ้าขาวบางห่อแล้วชุบเหล้าขาวทาถูบริเวณที่คันบ่อย ๆ หรือใช้ใบไพลแดงขยี้แล้วทาหรือใช้ใบลานจืดตำแล้วทา

แผลสด สมานแผล

1. ใช้ใบสาบเสือตำหรือขยี้แล้วพอกแผลสด (หญ้าชนิดนี้เรียกชื่อต่างกันดังนี้ ภาคกลางเรียก หมากหลง ผักคราดหญ้าเสือหมอบ หญ้าคงรั้ง ภาคใต้เรียก หญ้าเมืองวาย ใช้ปู่กุยสะพัง ดาพัง ภาคเหนือเรียก มุ้งกระต่าย หญ้าลืมเมือง หญ้าเหม็น ภาคอีสานเรียก ต้นฝรั่งเศส เบญจมาศ)

2. ใช้ใบหนุมานประสานกายตำพอกแผลห้ามเลือด

3. ใช้ใบฤษีผสมแล้วขยี้ทาแผล

4. ใช้ฝักที่แคะลูกบัวออกแล้วตำเอาน้ำใส่แผลสด

5. ใช้ใบแตงโมสดตำพอกแผลสด

ยาแก้พิษสัตว์กัดต่อย

1. ใช้ยางมะละกอทาที่บริเวณแผล

2. ใช้ปูนแดงทาที่แผลถูกกัดต่อย

3. ใช้รากไม้เท้ายายม่อมฝนกับน้ำทาตรงที่ถูกกัดต่อย

4. ใช้ใบฟ้าทะลายโจนตำใส่เหล้าทาแก้พิษตะขาบกัด

5. ใช้ใบผักบุ้งทะเลตำพอกถอนพิษแมงกะพรุนไฟ

6. ใช้ผักบุ้งสดตำใส่เกลือนิดหน่อยพอกแผล

7. ใช้ผักกาดส้มตำพอกถอนพิษผึ้งต่อย

8. ใช้ผักกาดน้ำสดครึงบริเวณที่ถูกผึ้งต่อย

9. ใช้รากเจตมูลเพลิงแดงแช่เหล้าทา

10. ใช้สารส้มตำเป็นผงใส่แผลที่ถูกแมลงป่องต่อย

ยาแก้พิษงู

1. ใช้ใบเสลดพังพอน 1 กำมือประมาณ 20-30 ใบ ตำละลายเหล้าขาวคั่นเอาน้ำยากินแล้วเอากากพอกบริเวณที่ถูกงูกัด ถ้าใครถูกงูเห่ากัดอย่าลืมเอาผ้ารัดเส้นโลหิตเหนือแผลนั้นให้แน่น

2. ใช้ใบเถาคันแดง 5-6 ใบ ตำคั้นเอาน้ำแล้วผสมน้ำซาวข้าวกิน แล้วใช้อีก 4-5 ใบตำพอกที่แผล

3. ใช้ผักบุ้งสดตำคั้นเอาน้ำประมาณครึ่งถัวยผสมเหล้าขาวกิน เอากากพอกที่แผล

4. ใช้ใบว่านงูตำผสมน้ำมะนาวหรือเหล้ากิน

5. ใช้ว่านงูเห่าฝนกับน้ำกินและทา

ยาแก้ผิวหนังผื่นคัน

1. ใช้ใบมะขามน้ำอาบ

2. ใช้ใบตำลึงตำแล้วทาตามตัว หรือใช้ใบไพลตำแล้วถูก็ได้

3. ใช้ใบชุมเห็ด กระเทียม ขมิ้น ผสมกับตำและทา

4. ใช้เปลือกมังคุดตำใส่แผลหรือฝนกับน้ำปูนใสทา

5. ใช้กระเทียมกับกำมะถันผสมน้ำมะพร้าวทา

6. ใช้เหง้าขมิ้นชัน หัวไพล สานส้ม ตำผสมน้ำมะนาวทา

7. ใช้ใบฝรั่งต้มน้ำอาบ

8. ใช้ใบเหงือกปลาหมอต้มน้ำ หรือตำเอาน้ำทา

9. ใช้ใบหนาดต้มน้ำอาบ

10. ใช้ต้นฟ้าทะลายโจรต้มน้ำอาบ

ยาแก้กลากเกลื้อน

1. ใช้ใบทองพันชั่งและรากตำทาที่แผล

2. ใช้หัวกระเทียมสดบีบเอาน้ำทาที่แผล

3. ใช้ใบน้อยหน่าตำทาที่แผล

4. ใช้ใบแมงลักตำคั่นเอาน้ำทาที่แผล

5. ใช้ต้นน้ำนมราชสีห์เล็กตำพอกที่แผล

6. ใช้ยางมะละกอทาที่แผล

7. ใช้ใบชุมเห็ดเทศตำคั่นเอาน้ำผสมน้ำมะนาวทาที่แผล

ฝีธรรมดา และ ฝีฝักบัว

อาการเริ่มต้นเป็นเม็ดเล็กๆ หรือก้อนแข็ง ๆ และโตขึ้นอย่างรวดเร็วมีหัวหนองเกิดขึ้นตรงกลาง ถ้าขึ้นที่ผิวหนังมีเนื้ออ่อนมักจะไม่ค่อยเจ็บ ถ้าเกิดที่อวัยวะสำคัญจะมีอาการเจ็บมากและรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณสามเหลี่ยมจากสันจมูกมาถึงมุมปากทั้งสองข้าง เชื้อโรคจะกระจายเข้าไปสู่เส้นโลหิตใหญ่หรือเข้าสู่ฐานส่วนล่างของสมอง ทำให้เกิดโลหิตเป็นพิษอย่างแรงหรือเยื้อหุ้มสมองอักเสบ

การใช้ยาสมุนไพรรักษา

1. ฝีอักเสบทุกชนิดเมื่อยังไม่แตก ให้ใช้หัวหอมและแป้งหมี่ ผสมกับน้ำผึ้งและตำให้เข้ากัน ย่างไฟให้อุ่นแล้วพอกที่แผล

2. ใช้ว่านถอนพิษหรือจักรนารายณ์ ใช้ใบสดตำใส่น้ำตาลแดงพอกเป็นยาถอนพิษฝี แก้ปวดอักแสทุกชนิด แก้พิษตะขาบ แมลงป้อง และสัตว์มีพิษขบกัดต่อยแก้ฟกช้ำบวม เป็นยาดูดถอนพิษได้ดี

3. ฝีเกิดขึ้นที่เต้านมทุกชนิด และมีอาการอักเสบรวมทั้งมะเร็ง ให้เอาขั้วฟักทอดปิ้งไฟให้เป็นถ่าน บดเป็นผงให้ครั้งละ 5-6 กรัมผสมเหล้าขาวกิน แล้วให้ผู้ป่วยนอนห่มผ้าให้มีเหงื่อออก ส่วนภายนอกให้ผงผสมน้ำมันงาทาที่แผล (ขั้วใหม่ ๆ ไม่ค่อยได้ผล ถ้าเก่าหลาย ๆ ปี ได้ผลดีมาก)

4. ฝีหัวขาดและอักเสบมีอาการถึงเพ้อเพราะพิษกำเริมเอาน้ำตาลทรายประมาณ 150 กรัมผสมน้ำกิน แล้วเอาดอกเก๊กฮวย (เบญจมาศดอกขาว) 1 กำมือ ตำใส่น้ำตาลแดงพอกหรือใช้ใบพุดตาลตำพอก

5. ฝีอักเสบกินไม่ได้นอนไม่หลับให้เอากระเทียมโทนตำผสมกับน้ำมันงาพอกแผลให้หนา เป็นยาถอนพิษและระงับความเจ็บปวดได้ดี ถ้าไม่มีกระเทียมโทนใช้กระเทียมธรรมดาก็ได้

6. ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอมีสารเกิดขึ้นที่เต้านมหรืออวัยวะส่วนอื่น ๆ หรือปวดตามข้อหรือมีตะคริว ให้เอาหัวหอมหรือต้นหอมตำให้ละเอียดคั่วให้ร้อน ใช้ผ้าห่อแล้วประคบไว้ที่ปวดเนื้อเต่าตลอดชีวิต

7. ยาพอกฝีต่าง ๆ ให้เอาข้าวสุมไฟ 1 ใบบอระเพ็ด ขมิ้นอ้อย 1 ใบสะเดา 1 ใบผรั่ง 1 ตำพอก

8. ยาทาแก้ฝีพิษฝีกาฬ ให้เอาลูกกระจี้มาคั่วให้เกรียมพิมเสนบดให้ละเอียด ดีหมู 2 ดี เอาแต่น้ำดีมากวนกับยาแล้วทาหายดี

9. ใช้รากลำโพงฝนกับน้ำปูนแดงทาแก้พิษดับพิษร้อนแก้ปวดบวมอักเสบ

ยาแก้โรคเริม งูสวัด ขยุ้มตีนหมา

1. ใช้เปลือกมังคุดแห้บดเป็นผงผสมน้ำปูนแดง(ปูนกินกับหมาก) ทา

2. ใช้ใบแมงลักทั้งต้น ราก ตำใส่น้ำตาลแดงคั้นเอาน้ำทา

3. ใช้ดินสอพองเผาไฟให้ไหม้แล้วตำกับว่านหางจระเข้ให้เหนียวผสมกับเหล้าขาวทา

4. ใช้ใบสนุ่นสดตำกับสุราทา

5. ใช้ใบเสลดพังพอนตำกับพิมเสนและเหล้าขาวแล้วพอกที่แผล

6. ใช้ต้นผักกระสัง ขมิ้นอ้อย ปลายข้าวสาร ตำให้ละเอียดละลายน้ำชาแล้วทาตรงที่เป็นเริม

7. ใช้ใบรานจืดเถาพอกที่เป็นเริม

8. ใช้ใบว่านถอนพิษหรือจักรนารายณ์ จีนเรียกแป๊ะตังปึง ตำคั้นเอาน้ำผสมพิมเสนทา

9. ใช้ใบพุดตานสดตำพอก หรือใช้ใบแห้งบดเป็นผงผสมกับเหล้าขาวทา

ยาแก้แผลกลายใช้ปูนแดงที่กินกับหมากตากให้แห้งนำมาบดกับสารส้มสตุให้เข้ากันสนิท แล้วโรยยาแตะพอกที่แผลสามวันหาย

ยาแก้แผลเรื้อรังให้เอาผลลำโพงดำ (มะเขือบ้า) ฝานเป็นชิ้นตากแห้งดองน้ำมันเครื่อง ใช้ทาแผลเรื้อรัง เป็นยาฆ่าเชื้อโรคกลากเกลื้อนได้ผลดี

โรคเหน็บชา

ต้นเหตุเกิดจากการขาดอาหารโดยเฉพาะพวกวิตมิน บี1 วิตมิน บี 1 มีอยู่ในเปลือกนอกของเมล็ดข้าวและถั่วมากกว่าอาหารอื่น

อาการโรคเหน็บชา คนที่เป็นโรคเหน็บชา มักจะมีอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อมักจะลีบลง ความเคลื่อนไหวไม่สะดวกและผิดปกติ บางส่วนอาจเป็นอัมพาตและอามีอาการบวมเพราะมีน้ำคั่งมากก็ได้ ถ้ามาการมากอาจจะทำให้เส้นประสาทที่ควบคุมหัวใจเสื่อม มีผลเกิดหัวใจวาย

ยารักษาโรคเหน็บชา

1. ให้เอารำปลายข้าวสาร (รำข้าว) 2 ลิตร เมล็ดงาดำ 1 ลิตร กระเทียม 1 กำมือ หั่นให้บาง ๆ ยาทั้งหมดนี้คั่วให้สุก บดเป็นผงผสมกับน้ำผึ้ง หรือน้ำตาลเคี้ยวกินอย่างขนม

2. เหน็บชาทั้งตัว ให้เอาสักขี 1 บาท ใบมะกา 2 บาทแก่นแสมทั้ง 2 หนักสิ่งละ 3 บาท แห้วหมู 4 บาท แก่นขี้เหล็ก 5 บาท แก่ไม้สัก 6 บาท แก่ขนุน 7 บาท ฝักคูน 8 บาท สะค้าน 9 บาท รากชะลูด 10 บาท มะตูมอ่อน 11 บาท มะคำไก่ 12 บาท ยานี้ต้มน้ำกินิเศษนัก

ยารักษาความดันโลหิตสูง

1. ใช้ยอเกสรข้าวโพดแห้ง 1 กำมือ เปลือกแตงโมแห้ง 1 กำมือ เปลือกกล้วยแห้ง 2-3 ผล นำมาต้มน้ำกินต่างน้ำชา

2. ใช้ต้นคึ่นไฉ้ปรุงเป็นอาหารกิน

3. ใช้ดอกคำฝอย 1 หยิบมือชงน้ำร้อนดื่มต่างน้ำชา

4. ใช้กาฝากมะม่วงทั้งต้นสับเป็นท่อนสั้น ๆ ตากแห้งแล้วคั่วให้เหลืองชงน้ำร้อน หรือผสมใบชาชงกินต่างน้ำชา แก้ความดันและเบาหวาน

5. เฉาก๊วยกับน้ำตาลแดงกินบ่อย ๆ ก็ช่วยลดความดันสูงได้

6. ลำไยแห้งต้มกินต่างน้ำก็ลดความดันได้

7. ใช้รากกระย่อมหนัก 10 บาท บดเป็นผงให้ละเอียดใช้ครั้งละ 1-2 ช้อนการแฟกับน้ำอุ่นกินอย่ากินมากมีฤทธิแรง

ยาแก้ความดัน แก้ปวดหัว มึนงง แก้หวัด แก้ลมแน่นในกระเพาะ

ให้เอาใบคึ่นใช่ 20 ใบ ใบโหระพา 10 ใบ เมนทอล 10 เกร็ด พิมเสน 20 เม็ด

น้ำมะกรูดครึ่งลูก น้ำมะนาวครึ่งลูกวิธีทำตำให้เข้ากันรับประทานก่อนอาหาร

ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงนั้นควรระวังอารมณ์ตึงเครียดและหกล้ม จะทำให้เส้นโลหิตฝอยในสมองแตกหรืออุดตันเป็นเหตุอัมพาต ดังนั้นผู้ที่อยู่ใกล้ตุการณ์จำเป็นต้องรู้จักปฐมพยาบาลโดย ด่วนจะไม่เป็นอัมพาตภายหลัง มีดังนี้ ผู้ป่วยบางรายเมื่อหกล้มหรือตุอื่น จะมีอาการกัดฟัน มือกำแน่น หน้าแดง วิธีพยาบาลให้เอาลูกบ๊วยหรือมะนาวทาที่เหงือกฟัน แล้วรีบไปเอาสนแผง (จีนเรียกเจ๊กแป๊ะเฮีย) 1 กำมือ ต้นหอมทั้งราก ทั้งใบ 1 กำมือ รวมกันตำคั้นเอาน้ำผสมกับเหล้าหนึ่งถ้วยกาแฟ ต้มให้เดือดสัก2-3 นาที แล้วยกลง พอน้ำยาอุ่น ๆ ก็กรอกปากเข้าไปให้หมดที่เดียว ผู้ที่ไม่เคยกินเหล้าแบ่งกินหลายครั้งก็ได้ หรือใช้ใบหนุมานประสานกาย 10-15 ช่อ ตำผสมกับสุราขาว 3 ช้อนโต๊ะ ระยะต่อไป อาการดีขึ้นให้ลดลง เอาใบหนุมานประสานกาย 7-10 ช่อทำเหมือนเดิม แบ่งกินวันละ 2 หลังอาหารเช้า และ ก่อนนอนจะช่วยประสานเส้นโลหิตฝอยให้ต่อกันและเส้นโลหิตที่คั่งอยู่ในสมองออกโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ถ้าผู้ป่วยเป็นลมหมดสติแบมือ อ้าปาก ตาถลน เสียงกรนดัง หายใจเบา ปัสสาวะ ไม่รู้สึกตัวให้ใช้ยาขนานนี้ หยิ่งเซียม 3สลึง หูจื้อ 2สลึง (เอายาทั้งสองอย่างนี้ที่ร้านขายยาจีนมีขาย) แล้วเอามาต้มน้ำกรอกปากถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นให้รีบไปหาแพทย์ทันที่

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ความดันโลหิต

ต้นเหตุเกิดจากหลายอย่าง บางรายหาเหตุแน่นอนไม่ได้บางรายกินอาหารมากเกินไป คร่ำเคร่งกับชีวิตมากเกินไป กินเหล้าสูบบุหรี่มากตับไตเรื้อรัง

อาการที่พบเห็นได้ภายนอกคือผู้ที่เป็นวัยกลางคน ร่างกายอ้วนผิวดำแดงลักษณะกำยำล่ำสัน บางรายมีอาการปวดศีรษะเวียนหัวหูอื้อตาลาย นอนไม่ค่อยหลับหัวใจเต้นแรงผิดปกติ (ถ้ามีอาการอย่างนี้ใช้ยารักษาไม่ได้ผล ให้เอาพริกไทยร่อน 7 เม็ด ข้าวสารเหนียว 7 เม็ด หน่ำเหงยิ้น 4 เม็ด ท้อหยิ้มหนัก 2 ตำลึง กีจื้อหนัก 2 ตำลึ ยาทั้งห้าอย่างบดให้ละเอียด แบ่งออกเป็นสามส่วน ก่อนนอนให้เอาหนึ่งส่วนผสมกับไข่ไก่ขาว แล้วพอกที่ฝ่าเท่า (อุ้งเท้า) ใช้ผ้าพันติดไว้ไห้แน่นตลอดคืนผู้ชายพอกไว้ที่เท้าซ้าย ผู้หญิงพอกที่เท้าขวา ถ้าอาการเป็นไม่มากพอกครั้งเดียวความดันก็ลดลงเป็นปกติ ถ้าเป็นมากให้ทำติต่อกันจนหมดชุดยา แต่ต้องกินยารักษาไตจึงจะหายขาด) และอาการอื่น ๆ เช่น หน้าแดง ตาแดง ท้องผูก หายใจไม่สะดวก ถ้ามีอาการมากจะทำให้เส้นโลหิตในหัวใจตีบหรืออุดตัน (ถ้ามีอาการที่ว่านี้ควรรับประท่านต้นหอมสดหรือหัวหอมสดและกระเทียมสดจะช่วยลดไขมันในเส้นโลหิตของท่าน และความดันให้เป็นปกติได้ด้วย ใช้หอมสดรับประท่านมื้อละ 5-6 ต้น ถ้าใช้หอมหัวเล็กมื้อละ 4-5 หัว กินพร้อมกับรับประท่านอาหารทะเช้า เย็น ประมาณสัก 10 วัน หรือใช้ดอกคำฝอย 1 หยิบมือ ดอกเก็กฮวยประมาณ 10 ดอก ใส่น้ำสองแก้วต้มน้ำกิน) ข้อควรระวังผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูงต้องงดอาหารและมันจัดและเค็มให้น้อยที่สุด ควรกินผลไม้และผักให้มาก หางานอดิเรกที่ถูกจิตประสาททำ ซึ่ง เป็นที่ออกกำลังกาย ทำสิงที่มีประโยชน์และเกิดอารมณ์เพลิดเพลิน ควรงดงานสังคมและการเยี่ยมเพื่อนฝูงที่ไม่จำเป็นพยายามทำใจให้สงบ

ยาแก้ไซนัสและริดสีดวงจมูก

1. ให้เอาใบหนาด ใบกล้วยป่า ทั้งสองอย่างนี้หั่นเป็น ฝอยตากให้แห้ง กำมะถันเหลืองนิดหน่อย รากกระเทียมพอประมาณ ทั้งหมดผสมให้เข้ากันแล้วใช้ใบกล้วยป่ามวนสูบ

2. ใช้มะตูมอ่อนแห้ว พริกไทยร่อน กระชายดำ ใบ กอังกาบเหลือง ยาทั้งสี่อย่างน้ำหนักเท่ากันบดเป็นผงผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นเม็ดเท่ามะละกอ กินหลังอาหารเช้า เย็น วันละ 2 เวลา ครั้งละ 15-30 เม็ด

3. ให้เอาลูกจันทร์ มหาหิงคุ์ การบูร ยาดำ อย่างละ 2 ตำลึง พริกไทย 8 ตำลึง ยาทั้งหมดนี้บดเป็น ผงละลายน้ำมะกรูดปั้นเป็นเม็ดเท่าเม็ดพุทรา กินวันละ 2 ครั้ง ๆ ละ2 เม็ด ก่อนอาหารเช้า เย็น

4. ไซนัสมีน้ำมูกเป็นสีเหลือง ใช้หญ้ากระต่างจาน (คนจีนเรียหโอ่วเกี่ยอี้มเจี๊ยะเฉ้า) ขยี้แล้วยัดไว้รูจมูก

5. ไซนัสน้ำมูกไหลมีกลิ่นเหม็น ใช้เถาบวบกลมใกล้ที่รากสัก 1 ศอก เผาเป็นถ่านแล้วบดเป็นผงแล้วผสมเหล้ากินและใช้ผงเป่าเข้าจมูก

6. ริสีดวงจมูกใช้พิมเสนอย่างดีทาที่หัวริดสีดวหรือใช้สารส้มสะตุผสมกับน้ำมันหมู แล้วใช้ผ้าห่อยัดใส่รูจมูก

7. ริดสีดวงจมูกให้เอาใบอัคคีทวาร ใบบัวบก เปลือกขลู่ ทั้งสามอย่างนี้ตากแห้ง ผสมพิมเสนกับการบูรเล็กน้อย แล้วใช้ใบตองอ่อนมวนสูบ

8. จมูกมีหนองคันใช้เมล็ดกู้ไฉ่สุมไฟแล้วรมควันหนองจะออกมา

9. เลือดกำเดาไหลไม่หยุด ใช้กระเทียมตำไห้ละเอียดแล้วพอกที่อุ้งเท้าเลือดจะหยุดเอง

ยาแก้ไซนัสเรื้อรัง

ใช้พลูทั้งต้นสดคั้นเอาน้ำแล้วใส่พิมเสนนิดหน่อย หยอดรูจมูกวันระหลายครั้ง พร้อมกับใช้ต้นสด 30 กรัมต้มน้ำกิน ถ้าไซนัสมีน้ำมูกไหบให้เอาชานอ้อยที่สะอาดแห้งๆ เผาไฟ (กากอ้อยที่เคี้ยวกินน้ำแล้วตากแห้งเอาไว้) บดเป็นผงให้ละเอียดผสมกับพิมเสน ใช้กล้องเป่าเข้าจมูกวันละหลายครั้ง ยานี้ใช้ได้ เฉพาะที่มีน้ำมูกไหล ถ้ามีหนองหรือเนื้องอกไม่ได้ผล

ยาแก้แผลในจมูกอักเสบ

ใช้ลูกเดือย และฟักเขียวต้มน้ำกิน

ยาแก้เลือดกำเดา

1.ใช้เปลือกกล้วยหอมเผาเป็นถ่าน แล้วบดเป็นผงใส่หลอดกาแฟเป่าเข้ารูจมูก

2. ใช้รากกว่านไฟ 1 กำมือต้มน้ำ หรือใช้ใบสนหางสิงห์(เชียงใหม่เรียก จันทยี กรุงเทพฯ เรียกว่า สนเทศ หรือสนแผง คนจีนเรียน เฉ็กแปะ) ใช้ใบแห้ง และดอกทับทิมแห้ หนักเท่ากันบดเป็นผงเป่าเข้ารูจมูก ถ้ามีอาการมากใช้ยาที่กล่าวมาไม่ได้ผล ก็เอาต้นกู้ไฉ่มาตำคั้นเอาน้ำนึ่งให้ร้อนพออุ่น ๆ กิน

สะอึก

สะอึกเป็นอาการที่หายใจเข้าอย่างทันทีทันใด เนื่องจากการหดตัวของกระบังลม สาเหตุเกิดจากการรบกวนในกระเพาะอาหาร มักจะเกิดขึ้นภายหลังอาการหนักหรือกินเร็วเกินไปทำให้เคี้ยวไม่ละเอียด มีการรบกวนเส้นประสาทที่ไปควบคุมกระบังลม

การรบกวนนี้อาจจะเกิดจากโรคตับ ถุงน้ำดี กระเพาะอาหาร ต่อมทอนซิน ฟัน หรือเกิดจากการผ่าตัด หรือประสาทแกล้งทำ ลมบ้าหมู เนื้องอก

การรักษา

ถ้าเป็นสะอึกธรรมดาให้กลั้นหายใจไว้ให้นานหรือดื่มน้ำให้มาก หรือแหงนหน้าเพ่งดูเพดานอาการก็จะหายไปเอง ถ้าเป็นสะอึกติดต่อกันหลาย ๆ ชั่วโมง หลายวัน หลายเดือน มันก็ทรมานทนไม่ไหวให้เอาว่านไพร หรือไพรแดง จีนเรียกเล้งเกิ๋ย ใช้สัก 30 กรัมทุบให้แตกใส่น้ำประมาณ 300ซีซี ต้มเหลือ 200 ซีซี กินแล้วไม่กี่นาที่ก็หายไปหลายคนแล้ว ท่านที่ต้องการขอได้ที่วัดอุโมงค์

ยาแก้หอบหืด

1. ใช้ใบหนุมานประสานกายต้มน้ำดื่ม หรือใช้ใบเขียวสดเคี้ยวกลืนขณะหอบหืดเป็นมาก

2. ใช้ใบหญ้าขัดใบป้อม ที่ประจวบคีรีขันธ์เรียกตาลทราย ต้มน้ำกิน

3. ใช้เปลือกส้มโอเผาเป็นถ่านบดเป็นผงละลายน้ำผึ้งกิน

4. ใช้ใบหรือดอกลำโพงหั่งเป็นฝอยตามแห้งมวนเป็นบุหรี่สูบ

5. ใช้ใบกระเพราแดงผสมปูนกินหมากขยี้ทาตามตัวและศีรษะ

6. ใช้ใบกล้วยตานีห่อผิวไม้ไผ่ต้มกิน

7. ใช้ใบหญ้างวงช้าง ปูนแดง ใบหนาด และใบ กระเพราแดงผสมกับน้ำกิน

8. ใช้รากดอกคำใต้แช่น้ำแล้วกิน

9. ใช้ดอกบานไม่รู้โรย 10 ดอก ต้มน้ำใส่เหล้านิดหน่อยกินวันละ 3 ครั้ง

ไอ

เป็นอาการแสดงให้เห็นว่าจะเป็นโรค มักเกิดขึ้นร่วมกับโรคอื่นเช่น หวัด เจ็บคอ ทอนซิลอักเสบ ไข้หวัดใหญ่ เยื่อหุ้มอักเสบ วัณโรค และโรคอื่น ๆ อีกหลายอย่าง

วิธีป้องกันรักษา

ให้หาสาเหตุและแก้ไข ถ้าอาการนั้นเกิดจากในคอให้ใช้ ประคบความร้อนบริเวณคอวันละ 2 ครั้ง ถ้าไอมากควรใช้ยาอื่นช่วย ถ้าไอน้อยให้ใช้น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งและเกลือจิบกิน ถ้าไอเกิน 7 วันควรปรึกษาแพทย์

ยาแก้ไอ

1. ใช้ใบพลูต้มน้ำให้เดือดแล้วใส่เกลือกิน

2. ใช้หัวกระเทียมตำให้ละเอียดผสมน้ำมะนาวและเกลือ กวาดคอหรือจิบกิน

3. ใช้เง่าขิง หอม เกลือ ตำผสมน้ำผึ้งกิน

4. ใช้น้ำส้มมะขามเปียกผสมน้ำผึ้งกิน

5. ไอมีเสมหะมาก หอบ หืด ใช้ต้นโทงเทงสด 60 กรัมต้มน้ำใส่น้ำตาลแดงกิน

6. ใช้ข่าแล้วทุบฝานบางๆ บีบมะนาวเติมน้ำตาลแล้วอมไว้เคี้ยวกลืน

7. ใช้ต้นปีกแมลงสาบ (กรุงเทพฯ เรียกกัมปู หรือก้ามปูหลุด) ใช้ต้นสด 60 กรัมต้นกับปอดหมูกินหลังอาหารวันละ 3 เวลา

8. ไอหอบใช้ดอกบวบกลมหรือบวบเหลี่ยมต้มน้ำใส่น้ำผึ้งกิน

9. ใช้รากมะเขือขื่นตำกับเกลือแล้วอม

10. ใช้ผลมะเขือเท่าอายุคนป่วยตำคั้นเอาน้ำผสมน้ำเข้ากันแล้วจิบกิน

11. ไอเรื้อรังใช้ขิงสดตำคั้นเอาน้ำสัก 30 ซีซี ใส่น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำสุกคนให้เข้ากันและจิบกิน